สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่ง
แห่งประเทศไทย



สมาคมแพทย์ผิวหนัง
แห่งประเทศไทย





track visits
จำนวนผู้เข้า Web

 

แนวทางแก้ไขภาวะกลิ่นตัวแรง

นพ.จุมพฏ อุรุพงศา


"กลิ่นตัว ” คนเราทุกคนต่างก็มีทุกคน ถ้าเป็นกลิ่นหอมก็ถือว่าโชคดีไปแต่ในทางตรงกันข้าม ก็ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกปัญหาหนึ่งเลยทีเดียวดังนั้นการที่รู้ว่ากลิ่นตัว (ไม่หอม) สร้างมาจากไหนก็จะช่วยแก้ไขและหาทางป้องกันได้

โดยปกติแล้วร่างกายแต่ละคนจะมีกลิ่นเฉพาะเรียกว่า   "กลิ่นกาย"   ซึ่งจะแตกต่างกันไปเช่นเดียวกับเสียงและลายมือ   กลิ่นกายเกิดจากการหลั่งสารของต่อมกลิ่นและ ต่อมเหงื่อที่อยู่ใต้ผิวหนังปกติแล้วจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  เพื่อดึงดูดต่อเพศตรงข้าม แต่ที่ผิวหนังบางบริเวณ เช่น บริเวณรักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า สารหลั่งกลิ่นบริเวณนี้จะระเหยไปได้ยากจึงทำให้เกิดการหมักหมม  และยังเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดการย่อยสลายและส่งกลิ่นฉุนระเหยออกมาก่อให้เกิดเป็น  "กลิ่นตัว"  ซึ่งถ้าการหมักหมมมีมากก็จะเกิดกลิ่นที่รุนแรง  และที่สำคัญกลิ่นกายอันไม่พึงประสงค์นี้มักจะสร้างปัญหาให้กับเจ้าตัวได้มากทีเดียว

การหลั่งเหงื่อ ถือว่าเป็นภาวะปกติของร่างกายที่จำเป็น เพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยกลไกการหลั่งเหงื่อจะส่งผ่านปลายประสาท ของระบบประสาทอัตโนมัติ
ที่เรียกว่า Sympathetic nervous system

แต่ในบางคน ประมาณ 1 % จะพบว่าระบบการหลั่งเหงื่อดังกล่าว ทำงานมากกว่าปกติ และเกินความจำเป็นในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ภาวะนี้เราจะเรียกว่า Hyperhidrosis ซึ่งบริเวณที่พบเหงื่อออกมากกว่าปกติ ได้บ่อยๆ คือ บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้(พบบ่อยสุด) ใบหน้า ลำตัว

สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวมีหลายสาเหตุ  คือเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น  ต่อมไขมันจะผลิตความมันออกมาตามรูขุมขนเพิ่มขึ้น  ต่อมเหงื่อก็ผลิตเหงื่อออกมามาก  โดยเฉพาะเวลาวิ่งเล่น  เดินเร็ว  อยู่ในอากาศร้อน  เหงื่อออกมาจากรูเปิดของต่อมเหงื่อ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากรูเปิดขุมขนมากนัก เมื่อทั้งความมันและน้ำเหงื่อไหลซึมออกมาจากรูเปิดบนผิวพรรณสักระยะหนึ่ง  และมีสภาพแวดล้อมที่อับชื้นนานพอเหมาะ บรรดาเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ  ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติบนผิวพรรณ ก็จะพากันเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ออกมาจำนวนมาก พร้อมทั้งส่งกลิ่นเหม็นอับออกมาเป็นกลิ่นตัวแรงๆ เป็นสาเหตุแรกของกลิ่นตัว

สาเหตุต่อไปของการมีกลิ่นตัวคือ  การเลือกรับประทานอาหารประเภทเครื่องเทศ กระเทียม ทุเรียน ซึ่งเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงอาจระเหยออกมาจากลมหายใจ ขับถ่ายออกมาทางต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน ต่อมกลิ่น   หรือเป็นสาเหตุก่อให้เกิดการสร้างสารประกอบมีกลิ่น
แล้วปลดปล่อยออกมาทางช่องระบายของร่างกายได้อีกทอดหนึ่ง

สำหรับคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ไทรอยด์เป็นพิษโรคทางสมอง และภาวะผิดปกติทางระบบเผาผลาญอาหารบางชนิด  ร่างกายจะสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่นและขับออกมาทางเหงื่อ  จึงอาจทำให้คนที่เป็นโรคดังกล่าวอาจมีกลิ่นตัวเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่มีอารมณ์เครียดบ่อย หรือชอบโกรธและตกใจง่ายร่างกายจะกระตุ้นให้ต่อมเอ็คไครน์บริเวณใต้รักแร้  หน้าผาก  และฝ่ามือมีเหงื่อออกมามากขึ้น   ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีความชื้นมาก แบคทีเรียที่ผิวหนังมีจำนวนมากขึ้น  จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้โดยไม่รู้ตัว
แนวทางแก้ไข
๑.ถ้ากรณีที่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน ,โรคเกาต์,ไทรอยด์เป็นพิษ ,โรคทางสมอง และภาวะผิดปกติทางระบบเผาผลาญอาหารบางชนิด การแก้ไขคือ การรักษาโรคดังกล่าวให้ดีขึ้นแล้วปัญหาเรื่องกลิ่นก็จะลดลง
๒. ควรหลีกเลี่ยงอาหารี่มีกลิ่นรุนแรงต่างๆ เช่น เครื่องเทศ,กระเทียม,ทุเรียน
๓. รักษาสุขอนามัยส่วนตัว เช่น อาบน้ำ สระผม โกนขน และ ชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ ซึ่งโดยมากมักจะกำจัดสารเคมีที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัวและ กำจัดแบคทีเรียออกจากผิวหนังได้ในระดับหนึ่ง
๔. การลดปริมาณเหงื่อ

  • การใช้สารป้องกันเหงื่อที่(antiperspiration)ใช้ได้ดี คือ 20-25% ALUMINIUM CHLORIDE in 70% alcohol มักได้ผลกรณีเป็นไม่มากและต้องใช้บ่อยๆ
  • การฉีด BOTOX  สารBOTOX สามารถ ยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาท ACETHYCHOLINE  ซึ่งนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้วยังทำให้ต่อมเหงื่อบริเวณดังกล่าวทำงานน้อยลง เหงื่อจึงออกลดลง สาร BOTOX จะมีฤทธิ์ประมาณ 6-8 เดือนและ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

    • การผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออกจะใช้ในกรณีมีอาการรุนแรงและใช้วิธีต่างๆข้างต้นแล้วไม่ได้ผลซึ่งตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะวินิจฉัย และทำการรักษาต่อไป